ข้อคิดเห็นในการประชุมที่เมืองกวางจู ประเทศเกาหลีใต้
งาน Korea Gathering ที่เมืองกวางจู (Gwangju) ประเทศเกาหลีใต้ มีขึ้นในวันที่ 11-14 มกราคม 2017 หลายคนจึงเรียกว่า กวางจู 111 (เดือนที่ 1 วันที่ 11) เมืองกวางจูเป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 6 ของประเทศเกาหลี งาน Korea Gathering เป็นงานแรกหลังจากงานชุมนุม World Gathering ที่ได้ประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าที่นครเยรูซาเล็ม ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2016
เมื่อย้อนกลับไปมองอดีต ในปีค.ศ. 1929 ช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามายึดครองเกาหลี มีการปะทะกันระหว่างนักศึกษาเกาหลีกับญี่ปุ่น จนกระทั่งการต่อต้านญี่ปุ่นได้ลุกลามไปทั่วประเทศ ในปีค.ศ.1980 มีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทหารที่เมืองกวางจู และมีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน
นั่นเป็นอดีต แต่เมื่อมองดูที่ปัจจุบัน ช่วงที่ผ่านมานี้ประเทศเกาหลีใต้มีปัญหามากมาย ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ ปัญหามีตั้งแต่เรื่องของประธานาธิบดี ผู้นำคริสตจักรขนาดใหญ่ รวมทั้งการเกิดอุบัติภัยที่ร้ายแรงทางน้ำ และการคอร์รัปชั่นของบริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลี และอื่นๆ อีกมากมาย ในทางจิตวิญญาณ ความเชื่อศรัทธาของคนรุ่นใหม่ต่อพระเจ้าก็อยู่ในภาวะวิกฤต คนหนุ่มสาวขาดศรัทธาและเริ่มออกจากโบสถ์ คริสเตียนใหม่ก็มีน้อยมาก การมาประชุมที่นี่จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตวิญญาณ
และเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เราต้องอาศัยการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์สำหรับแนวทางการแก้ไข เราต้องอธิษฐานอย่างจริงจัง เราต้องการการฟื้นฟูใหม่อย่างแท้จริง
ผมมาร่วมการประชุมนี้ก็เนื่องจากการชักชวนของผู้ปกครองคริสตจักรเกาหลีท่านหนึ่งที่มาร่วมงาน Trial Gathering ที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 13-15 ตุลาคม 2016 ณ โรงแรมอาวาน่า ท่านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ท่านเพียงแต่บอกผมว่า “Korea Gathering in January next year.” ตอนแรกที่ท่านชวน แม้ผมจะรู้สึกว่าเกาหลีใต้กำลังมีปัญหามาก แต่ผมก็พูดกับตัวเองว่า ไม่ไปหรอก ไม่อยากยุ่ง งานผมก็เยอะอยู่แล้ว ผมจะไปช่วยเหลืออะไรเขาได้ และทางเยอรมนีก็ไม่มีอะไรคืบหน้ามากว่า 2 ปีแล้ว เรียกได้ว่าไม่เห็นแสงไฟที่ปลายอุโมงค์ แนวทางที่จะเดินก็ยังไม่มี คริสเตียนเกาหลีใต้ก็ต้องแก้ไขปัญหาของเขาเอง
ต่อมาภรรยาผมเล่าให้ผมฟังว่า “คุณจะว่ายังไงก็ไม่รู้นะ แต่ฉันรู้สึกลึกๆว่าพระเจ้าทรงอยากให้ไปร่วมงานที่เกาหลีใต้” เมื่อได้ยินเช่นนั้นผมจึงตัดสินใจไปโดยมีข้อแม้ว่าให้เธอช่วยแปลบทความที่เกี่ยวกับการประชุมที่ประเทศอิสราเอลที่ผมเขียน เป็นภาษาอังกฤษให้เสร็จก่อน เพื่อผมจะได้โพสต์ลงในอินเตอร์เน็ต (แต่เธอแปลได้เพียงบทความเดียว จากทั้งหมดกว่า 12 บทความ) ผมอยากจะให้สมาชิกและคนที่ร่วมประชุมได้เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น และดำเนินการบางอย่างที่พระเจ้าจะทรงนำ เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงและนำมาซึ่งการแก้ปัญหาของเกาหลี ผมเชื่อในมหัศจรรย์ของพระเจ้า นอกจากนี้หลังจากการประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าที่นครเยรูซาเล็มผมก็คาดหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เห็นผลชัดเจน
อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมมากวางจู เพราะอยากจะไปพูดคุยกับคุณแอนดรู เพื่อนชาวฮ่องกง ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เข้าใจในสิ่งที่ผมพบ และอดทนที่จะฟังในสิ่งที่ผมบอก ผมต้องการบอกเขาว่า ขณะนี้ เมื่อแผ่นดินของพระเจ้ามาถึงแล้ว เราต้องมีการเปลี่ยนแปลงยุทธวิธี พูดง่ายๆว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแนวการจัดงานและวัตถุประสงค์ใหม่ทีเดียว ผมเชื่อเช่นนั้น
ในงาน Korea Gathering ที่เมืองกวางจูนี้ เราได้ไปร่วมการประชุมตอนเช้า 8.00-10.00 น. ที่เรียกว่า Discerning สมาชิกระดับผู้นำจะมาแบ่งปันนิมิต หรือสิ่งที่ได้รับจากพระเจ้าให้ที่ประชุมกลุ่มย่อยนี้ฟัง เพื่อจะได้ร่วมกันพิจารณาหรือ discern ว่าพระเจ้าทรงต้องการให้ทำอะไร ในเช้าวันที่สอง เมื่อนายแพทย์เดวิด เดเมียน ขอให้ที่ประชุมจับมือกันอธิษฐาน คุณแอนดรูก็เดินเข้ามายืนระหว่างผมและภรรยา และบอกว่าพระเจ้าสั่งให้มาคุยกับผมและภรรยา พระองค์จะใช้เราทั้งสองอย่างมาก ให้เรารักกัน อภัยให้กัน เราทั้งสองจะต้องทำงานเป็นหนึ่งเดียว แยกจากกันไม่ได้
เราจับมือกันและอธิษฐาน เมื่อที่ประชุมเริ่มอธิษฐาน ผมก็เริ่มพูดภาษาแปลกๆ ค่อนข้างดัง แต่สั้นๆไม่กี่ประโยค และมือก็ผลักบางสิ่งบางอย่างออกไปจากเราทั้งสาม แล้วผมก็หยุดรอ สักครู่ก็หัวเราะขึ้นมาสองครั้ง ผมรู้สึกว่าพระเจ้าพอพระทัย แต่ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงพอพระทัยเรื่องอะไร สักพักผมก็พูดขึ้นมาอย่างค่อนข้างดังว่า "Now, Now” (เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้) ในตอนแรกผมนึกว่าเป็นการขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาสถิตให้เต็มห้อง แต่ที่ประชุมก็ยังพูดภาษาแปลกๆ แบบเดิม ดูเหมือนพระวิญญาณทรงสถิตอยู่ในห้องประชุมอย่างเบาบาง ผมอยากจะทูลขอให้พระวิญญาณลงมามากๆ และแรงๆ แต่พอจะพูดออกไปก็รู้สึกว่าพระวิญญาณไม่ทรงให้พูด ผมจึงหยุด
เมื่อการประชุมยุติ เราก็มานั่งคุยกันข้างหน้าต่าง ภรรยาของผมมองเห็นมีหิมะโปรยปรายลงมา (อันที่จริงมันโปรยลงมาสักครู่แล้ว แต่เรามัวคุยกันอยู่ เลยไม่ทันได้สังเกต) เราตื่นเต้นกันมาก เพราะเราเพิ่งจะเห็นหิมะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ตอนนั้นเองภรรยาของผมก็เล่าเรื่องที่พระเจ้าตรัสกับเธอในวันแรกที่มาถึงกรุงโซล คือเราเดินทางมาเที่ยวที่กรุงโซลสามวัน ก่อนที่จะเดินทางมาร่วมประชุมที่กวางจู ขณะที่เธอมองออกไปนอกหน้าต่างโรงแรมนั้น เธอก็นึกในใจว่า “นี่ถ้าหิมะตกก็คงดีนะ” ทันใดนั้นเธอได้ยินพระเจ้าตรัสว่า “ในวันที่สองเจ้าจะได้เห็นหิมะ” แต่เธอเพิ่งจะเห็นหิมะในวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่สองของการประชุม Korea Gathering
ทันทีที่เธอพูดจบ ผมก็รู้เลยว่าที่ผมสั่งว่า “เดี่ยวนี้ เดี๋ยวนี้” นั้นเป็นการสั่งให้หิมะตกนั่นเอง
ในการประชุมตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ภรรยาผมได้ขึ้นมาแบ่งปันเรื่องพระสัญญาเรื่องหิมะ เธอบอกว่า พระเจ้าทรงสนใจความต้องการของเรา พระองค์ทรงต้องการให้เราในสิ่งที่เราปรารถนาด้วย แม้เพียงการรำพึงในใจว่าอยากเห็นหิมะ พระองค์ก็สนพระทัย แต่ทั้งหมดต้องเป็นเวลาของพระองค์ ไม่ใช่เวลาของเรา (เวลาของเรา หมายถึง ภรรยาของผมคิดว่า วันที่สองของการมาเกาหลี เวลาของพระเจ้า หมายถึง วันที่สองของงาน Korea Gathering) เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่และทรงสนใจเรา ดังนั้นเราควรทูลขอเพื่อเกาหลีใต้อย่างชัดเจน อย่างเจาะจงลงไปในปัญหา โดยมีการคาดหวัง ไม่ใช่เพียงแต่อธิษฐานขอพระพรแบบรวมๆ แม้เรื่องการประชุมก็ไม่ใช่สักแต่ให้มีการประชุม แต่ต้องมีเป้าหมายที่จะให้สำเร็จด้วย หลังจากภรรยาของผมแบ่งปันเสร็จ ผู้เข้าร่วมประชุมหลายคนก็ขึ้นมาแบ่งปันนิมิต แต่ที่สะดุดใจผมก็คือ ผู้เข้าร่วมประชุมจากไต้หวันแบ่งปันนิมิตเรื่องกระดูกแห้ง ในเอเสเคียล บทที่ 37
นิมิตหุบเขากระดูกแห้ง
37 พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือข้าพเจ้า และทรงนำข้าพเจ้าออกมาโดยพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงวางข้าพเจ้าไว้ที่กลางหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยกระดูก 2 พระองค์ทรงพาข้าพเจ้าท่องไปในหมู่กระดูก และข้าพเจ้าเห็นกระดูกเกลื่อนกลาดทั่วพื้นหุบเขา เป็นกระดูกที่แห้งมาก
พระองค์ตรัสถามข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย กระดูกเหล่านี้จะกลับมีชีวิตได้ไหม?”
ข้าพเจ้ากราบทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต พระองค์แต่ผู้เดียวที่ทรงทราบ”
4 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเผยพระวจนะแก่กระดูกเหล่านี้ว่า ‘กระดูกแห้งเอ๋ย จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า! 5 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสแก่กระดูกเหล่านี้ว่า เราจะให้ลมปราณ[a]เข้าสู่เจ้า แล้วเจ้าจะกลับมีชีวิต 6 เราจะร้อยเอ็นของเจ้าและให้เจ้ามีเลือดเนื้อ แล้วเอาผิวหนังคลุมเจ้า เราจะใส่ลมปราณให้เจ้าและเจ้าจะมีชีวิต แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์’ ”
7 ข้าพเจ้าจึงเผยพระวจนะตามที่พระองค์ตรัสสั่ง ขณะที่ข้าพเจ้าเผยพระวจนะอยู่ มีเสียงดังกรุกกริก และกระดูกต่างๆ มาประสานต่อเข้าด้วยกัน 8 ข้าพเจ้ามองดูก็เห็นเอ็นและเลือดเนื้อก่อตัวขึ้นเหนือกระดูกและผิวหนังคลุมทั้งหมดไว้ แต่ร่างเหล่านั้นยังปราศจากลมปราณ
9 แล้วพระองค์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเผยพระวจนะแก่ลมปราณ จงกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า ลมปราณเอ๋ย จงมาจากลมทั้งสี่ทิศ และเข้าสู่ร่างที่ถูกสังหารเหล่านี้เพื่อพวกเขาจะมีชีวิต’ ” 10 ข้าพเจ้าจึงเผยพระวจนะตามที่พระองค์ตรัสสั่ง แล้วลมปราณก็เข้าสู่ร่างเหล่านั้น พวกเขาจึงมีชีวิต ลุกขึ้นยืน และกลายเป็นกองทัพใหญ่
11 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย กระดูกเหล่านี้คือพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมด พวกเขากล่าวว่า ‘กระดูกของเราแห้งกรัง ความหวังของเราสูญสิ้น เราถูกทำลายแล้ว’ 12 ฉะนั้นจงเผยพระวจนะแก่พวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า ประชากรของเราเอ๋ย เราจะเปิดหลุมฝังศพของเจ้าและนำเจ้าออกมา เราจะพาเจ้ากลับสู่ดินแดนอิสราเอล 13 เมื่อนั้นแหละประชากรของเราเอ๋ย เจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์เมื่อเราเปิดหลุมฝังศพของเจ้าและนำเจ้าออกมา 14 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้าและเจ้าจะมีชีวิตอยู่ เราจะให้เจ้าตั้งรกรากในดินแดนของเจ้าเอง เมื่อนั้นเจ้าจะรู้ว่าเราผู้เป็นพระยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาไว้และเราก็ทำตามนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น’ ”
เรื่องกระดูกแห้งนี้ผมรู้มานานแล้วและมีความเป็นห่วง ผมพยายามพูดคุยกับหลายคนว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมื่อแผ่นดินของพระเจ้ามาถึง กิจการทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะโลกนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าไม่พอพระทัยที่เราเป็นแต่อุ่นๆ เราต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ใช่รอให้พระเจ้ามาตรัสสั่งแบบเด็กๆ นิมิตเรื่องกระดูกแห้งเป็นการเตือนผู้นำเหล่านี้ว่า พวกเรากำลังเป็นกระดูกแห้ง พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ได้รับในอดีตนั้นไม่เพียงพอสำหรับงานใหม่ ในยุคใหม่นี้แล้ว เราต้องได้รับพระวิญญาณที่ประกอบด้วยฤทธิ์เดชมากกว่านี้ ทุกอย่างต้องชัดเจนกว่าที่เป็นอยู่
ในการแบ่งปันของภรรยาผม ที่เธอบอกว่า ให้เราทูลขออย่างชัดเจนและมีเป้าหมายนั้น เป็นประเด็นสำคัญ เราต้องขออย่างจริงจัง การทำงานของเราต้องไม่เป็นแบบอุ่นๆอีกต่อไป เราจะไม่จัดงานเพียงเพื่อให้มีการจัดงาน เหมือนการจัดงานทั่วๆไปที่ต้องการให้คนมาเยอะๆ แต่ขาดพระวิญญาณของพระเจ้า มิฉะนั้นผลที่ได้หรือการเปลี่ยนแปลงที่ควรเกิดขึ้นก็จะลดลง พระเจ้าต้องการให้เรามีผลที่ดีและยิ่งใหญ่ เช่น ในการประชุมที่สมุย ที่เราได้ทำให้บุตรทั้งสองของอับราฮัมมาคืนดีกัน เป็นผลให้แผ่นดินของพระเจ้ามาถึงโลกนี้ หลังจากที่รอมากว่า 2,000 ปี
ตอนเย็นคุณแอนดรู ก็มารับประทานอาหารกับผม ผมบอกคุณแอนดรูถึงความเข้าใจที่ผมมีต่อเขา ผมเชื่อว่า พระองค์ประสงค์จะให้เขาไปเปลี่ยนแปลงและช่วยเหลือปัญหาที่เกาหลี เพราะตัวผมนั้นไม่มีใครรู้จัก การยอมรับก็น้อย ซึ่งต่างจากเขาซึ่งเป็นผู้ที่พระเจ้านำให้มาช่วยขับเคลื่อนองค์กรนี้ ถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งขององค์กร และมีความใกล้ชิดกับผู้นำหลายคน พระเจ้าต้องการให้คุณแอนดรูหาทางเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง เพื่อให้การประชุมเกิดผลมากยิ่งขึ้น เพราะองค์กรนี้บอกกับผู้ร่วมประชุมว่า พวกเขาเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และเชื่อฟังพระเจ้า และผมก็เชื่อเช่นนั้น
สำหรับนิมิตเรื่องกระดูกแห้ง ผมได้สอบถามผู้ที่เห็นนิมิตว่า เห็นที่ไหน และหมายถึงใคร เธอบอกว่าเห็นในการประชุมที่นี่ พวกเราทุกคนคือกระดูกแห้ง
ผมเล่าให้คุณแอนดรูฟัง เรื่องความฝันของสมาชิกที่เฉวงบุรีคริสเตียนเซ็นเตอร์ ในความฝันนั้นเธอไปยืนอยู่ท่ามกลางอนุสาวรีย์หุ่นยักษ์จำนวนมาก แต่เมื่อมองไปอีกทางหนึ่งกลับเห็นที่ประชุม Pias Arena ที่กรุงเยรูซาเล็ม ผมอธิบายให้คุณแอนดรูฟังว่า เมื่อเรามาทำงานใหญ่ จำเป็นจะต้องเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ การมีพระวิญญาณแบบเดิมๆ นั้นไม่พอ มิฉะนั้นพวกเราจะกลายเป็นกระดูกแห้งหรือหุ่นปูน
ความจริงเมื่อมาถึงเกาหลีแล้ว ผมก็อยากจะช่วยอธิษฐานหรือทำอะไรบางอย่างให้เกาหลีบ้าง แต่มันก็มีขั้นตอนและระบบระเบียบของฟ้าสวรรค์ ผมจึงบอกคุณแอนดรูว่า ให้ไปพยายามพูดคุยกับผู้นำคนอื่นๆ เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ แล้วการชุมนุมที่เกาหลีจะได้รับพระพรมาก นิมิตเรื่องกระดูกแห้งบอกเราว่า เราต้องการพระวิญญาณที่มากขึ้น เพราะที่มีอยู่ตอนนี้ไม่พอสำหรับงานใหญ่แบบนี้
ทำไมพระเจ้าทรงให้ผมสั่งให้หิมะตก? นี่คือสิ่งที่ผมแปลกใจ หลังจากที่คิดทบทวนเรื่องนิมิตและสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในที่ประชุมนี้ ผมก็เข้าใจมากขึ้น การที่พระเจ้าทรงนำให้ผมสั่งให้หิมะตกนั้น ผมตีความว่า ความตั้งใจของผมที่จะรับผิดชอบเฉพาะประเทศไทยและเยอรมนีนั้นไม่ได้แล้ว แต่ผมจะต้องไปทุกที่ที่พระวิญญาณทรงประสงค์จะให้ไป ไม่ว่าที่มุมไหนของโลกใบนี้ ผมจะต้องเปิดตัวเองให้พร้อมสำหรับทุกที่ ไม่ใช่เฉพาะที่ สมุย ดังที่เคยตั้งใจในตอนแรกเท่านั้น
เราจะช่วยเกาหลีได้อย่างไร?
ความจริงบทความที่ผมเขียนใน joy711.blogspot.com ก็เล่าถึงแง่มุมที่จะช่วยให้การทำงานร่วมกับพระวิญญาณบริสุทธ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้เจาะจงเฉพาะเกาหลี ในที่นี้ผมจึงอยากบอกอย่างชัดเจนถึงประเด็นของเกาหลี ดังนี้
1. การอธิษฐานขอ ไม่ใช่เพื่อให้มีการอธิษฐานเป็นพิธีเท่านั้น แต่ขอให้มีความคาดหวังและเจาะจงให้มากกว่านี้
2. การประชุมไม่ใช่เพียงเพื่อการประชุม แต่เพื่อให้บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น มีผลของการประชุม
3. การรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เข้ามาในชีวิตของเรานั้นก็เพื่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา ไม่ใช่เพื่อพูดภาษาแปลกๆ และรู้ว่ามีพระวิญญาณอยู่เพียงเท่านั้น แต่ต้องมีผลของพระวิญญาณเกิดขึ้น
4. สรุป คือให้ลงลึก อย่าทำอะไรอย่างผิวเผิน ต้องเข้าไปถึงจิตวิญญาณให้มากขึ้น เมื่อรับพระวิญญาณแล้วก็ต้องให้พระองค์มาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา มีผลของพระวิญญาณ และเมื่อจัดการประชุม ก็ต้องให้มีผลของการประชุมที่ชัดเจน ที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศของเราให้ดีขึ้น การมีคนมากมายมาร่วมประชุมไม่สำคัญเท่าผลที่เกิดขึ้น ทั้งนี้เพราะพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่เพิ่มพูนสิ่งต่างๆ ทรงให้คนยากจนกลับร่ำรวย ให้คนอ่อนแอกลับเข็มแข็ง และนี่คือสิ่งที่เราควรมี คือมีความคาดหวัง ให้เราคาดหวังมหัศจรรย์จากพระเจ้า การ breakthrough ที่เกิดขึ้นที่สมุย เป็นตัวอย่างที่เราจะต้องนำมาใช้ในการประชุมในที่ต่างๆ หลายคนบอกว่าปีนี้เป็นปีแห่งการ breakthrough เมื่อมีการ breakthrough เกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว ก็ง่ายที่จะมีการ breakthrough ในที่อื่นต่อไปด้วย
เวลามาถึงแล้ว เราต้องรีบฉวยโอกาส ไม่ใช่ทำแบบเดิม ต้องคาดหวังให้มากกว่านี้
โลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แผ่นดินของพระเจ้ามาถึงแล้ว เราจะนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริงกันแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด ยุคใหม่ได้มาถึงแล้ว พระเจ้าได้เข้ามาปกครองเราด้วยพระองค์เอง เราจะเห็นพระเจ้าชัดเจนขึ้น
นี่แหละ สิ่งที่ผมอยากจะบอกให้รู้!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น